ดีกว่าไหม หากหัวใจไร้รัก [BETTER HEARTLESS] - ดีกว่าไหม หากหัวใจไร้รัก [BETTER HEARTLESS] นิยาย ดีกว่าไหม หากหัวใจไร้รัก [BETTER HEARTLESS] : Dek-D.com - Writer

    ดีกว่าไหม หากหัวใจไร้รัก [BETTER HEARTLESS]

    ฉันที่ผิดหวังในเรื่องความรักจนต้องเจ็บช้ำ ซ้ำ ๆ อยู่ทุกที บางที่จะดีกว่าไหม หากหัวใจจะไม่เคยรู้จักความรัก

    ผู้เข้าชมรวม

    95

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    95

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  31 ธ.ค. 65 / 15:22 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    เสียงลูกบาสเด้งกระทบพื้นดังกังวานครั้งแล้วครั้งเล่า พื้นรองเท้าหลายคู่เสียดสีกันไปมาบนพื้นสนาม อย่างเป็นจังหวะเร้าใจ สร้างความตื่นเต้นให้กองเชียร์ขอบสนามไร้ตัวตนอย่างฉันได้เป็นอย่างดี

    ใช่ ฉันมันไร้ตัวตน... สำหรับเขา พี่อาร์ท รุ่นพี่หน้าตาดี แล้วเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทุกชั้นในโรงเรียน

    ฉันแอบมองพี่อาร์ทตั้งแต่เข้ามาเรียน ม.๑ ได้ไม่กี่สัปดาห์ พี่อาร์ทเป็นรุ่นพี่ ม. ๓ ซึ่งอีกไม่กี่เดือนก็จะเรียนจบจากที่โรงเรียนนี้แล้ว

    หากพี่อาร์ทเรียนต่อ ม.ปลายที่นี่ก็คงจะเข้าทางฉัน เพราะฉันจะได้แอบเฝ้ามองพี่อาร์ทแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ

    ฉันยังไม่มีแผนการใด ๆ ที่จะทำให้ตัวเองเป็นที่สนใจ กับผู้ชายหน้าตาดี มีชื่อเสียงในโรงเรียนแบบพี่เค้า และถึงแม้ฉันจะมี ฉันก็ไม่กล้า เพราะว่าฉันมันก็แค่เด็กหญิงหน้าตาธรรมดา ที่ไม่เคยมีใครสนใจอยู่แล้ว แม้แต่เพื่อนในห้องเรียนก็ยังไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย แค่เพราะฉันหน้าตาธรรมดาเกินไป

    เด็กหญิงตาตี่ ผิวขาวซีด ยิ้มไม่เป็นอย่างฉัน ที่ร้ายกว่าหน้าตาของฉันคือ ฉันเข้าสังคมไม่เป็น และฉันก็ไม่ชอบ! ซึ่งต่างจากพี่สาวของฉันเป็นหน้ามือกับหลังฝ่าเท้า (ฉันอ่ะนะที่เป็นฝ่าเท้า)

    ดูสิ เวลาพูดถึงตัวฉันเอง ฉันจะหาความดีของตัวเองแทบจะไม่เจอเลยทีเดียว อาจจะเก่งแค่เรื่องเรียนนิด ๆ หน่อย ๆ พอเอาตัวรอดไปวัน ๆ

    บางวิชาถึงแม้ฉันจะติด ท็อป ๕ และนั่นก็ช่วยให้เพื่อนร่วมห้องจอมขี้เกียจทั้งหลายที่เข้ามาหวังเอาผลประโยชน์จากฉัน มาตีสนิทอยู่เป็นครั้งคราว แต่หลังจากใช้ประโยชน์จากฉันเสร็จแล้ว พวกมันก็ทำเป็นไม่รู้จักฉันทันที

    ความเคยชิน ใช่ ฉันชินแล้ว และมันปฏิเสธไม่ได้หรอก หากฉันไม่ให้ความร่วมมือตอนที่พวกเด็กไร้สาระพวกนี้เข้ามาหา แทนที่ต่อไปมันจะต่างคนต่างอยู่ มันจะกลายเป็นหาเรื่องฉันไปน่ะสิ อย่างนั้นฉันขอเลือกแกล้งโง่ดีกว่า

    แกล้งโง่ ใช่! แกล้งทำเป็นโง่ให้พวกนี้หลอกใช้ ซึ่งจะว่าไป เรียกว่าต่างคนต่างได้ผลประโยชน์จะดีกว่านะ เพราะฉันเองก็ได้ใช้ประโยชน์จากพวกนั้นอยู่เรื่อย ๆ (ก็แบบทดสอบมันมีออกมาบ่อยเหลือเกินอ่ะ บางทีทำข้อสอบมาก ๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะฉลาดกันขึ้นสักเท่าไหร่นิ ส่วนมากก็ลอกข้อสอบกันทั้งนั้น ไอ้ที่มันเฮงหน่อย มันก็เดา แล้วดันถูกอีกไง)

    แต่ฉันนั้นให้เดาก็ไม่ถูก เลยต้องเรียนหนักกว่าคนอื่นสักหน่อย แต่ผลตอบแทนก็คุ้มค่าอยู่นะ ได้เพื่อนจำเป็นมาบางเวลา แบบนี้สบายใจดีออก

    เด็กนักเรียนส่วนมากชอบดรามา ไม่หาเรื่องทะเลาะกันเองก็หาเรื่องตบกันแย่งผู้ชาย

    วกกลับมาเรื่องพี่อาร์ท ไอ้เรื่องตบกันแย่งผู้ชาย มันน่าอายจะตายไปไม่ใช่เหรอ แล้วนี่ถ้าอีพวกสาว ๆ แก่แดดแก่ลมที่ก็แอบชอบพี่อาร์ทอยู่เหมือนกัน รู้ว่าฉันแอบชอบพี่อาร์ท พวกนี้จะปล่อยฉันไว้เหรอ

    เป็นเด็กนักเรียน นอกจากจะต้องพยายามหลบพวกครูหัวโบราณที่คอยจ้องจับผิดว่า วันนี้เด็กนักเรียนจะทำผิดอะไรบ้าง ฉันยังต้องมาคอยหลบอีพวกบ้าผู้ชายอีก (ฉันไม่บ้านะ แค่แอบชอบ แอบตามดู บางทีก็ตามไปถึงบ้าน...ล้อเล่น! อันนั้นก็ออกแนวโรคจิตไปไหม)

    เออ...ฉันเลือกที่จะเป็นแค่อากาศอ่ะ ไปไหนก็ไม่มีใครสนใจ แต่มันก็เป็นอิสระไม่ใช่เหรอ ที่สำคัญ อากาศสำคัญนะ ขาดอากาศแล้วจะหายใจได้ไหมล่ะ หึหึ ฉันแค่รอเวลา คนฉลาดเท่านั้นแหละที่จะเข้าใจ

    โรงเรียนที่ฉันอยู่ ในคาบเรียนภาษาอังกฤษเวลาเข้าให้โสตอ่ะ ไม่ใช่โสดนะ ห้องโสต หึหึ ห้องโสตทัศนศึกษา นักเรียนต้องถอดรองเท้าจอดทิ้งไว้หน้าห้องนะ งงใจ จะติดพรมทำไม ต้องมานั่งดมถุงเท้าเหม็น ๆ ของพวกเท้าเปียก เด็กผู้ชายเท้าเหม็นจะตาย ยาดมคือเพื่อนตายเลย ช่วยได้บ้าง ฮ่า ๆ

    ทุกครั้งที่พี่ฮาร์ทมีเรียนห้องโสต ฉันจะแอบเอากระดาษน้อยที่เขียนกลอนแอบรักไปใส่ไว้ทุกครั้ง แล้วจะรู้ได้ไงว่ารองเท้าคู่ไหนเป็นของพี่อาร์ทเหรอ หาไม่ยากหรอก ก็อันที่มีจุดสีขาวของลิควิดจุดที่ด้านหลังส้นรองเท้าไง ไม่สังเกตก็ไม่เห็นหรอก แต่นี่ใคร ฉันเอง ฉันผู้ทำหน้าที่แอบมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ (เกือบจะจิตอยู่แล้ว แต่ไม่อยากขิต เลยหยุดจิตซะก่อน)

    นี่ฉันเนิร์ดนะ ไม่ใช่แค่เนิร์ดเรื่องเรียน นิสัยส่วนตัวด้วย ยังไงล่ะอ่านมาจนถึงตอนนี้ถ้าเธอไม่สังเกตว่าฉันเนิร์ด เธอนั่นแหละที่ผิดปกตินะ

    เอาล่ะกลับมาเรื่องพี่อาร์ทต่อ สัปดาห์หนึ่งพี่อาร์ทจะเข้าห้องโสตอยู่สองครั้ง แล้วฉันรู้ตารางเรียนพี่อาร์ทได้ไงเหรอ เอ้า...ช่วงเปิดเทอม หลังจากประชุมผู้ปกครองเสร็จทุกคนออกจากห้องหมดแล้ว ฉันก็แอบเข้าไปในห้องเรียนพี่อาร์ทสิ บนบอร์ดมีตารางเรียนของทั้งเทอม ก็ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปไง มันยากตรงไหนอ่ะ

    จะว่าไป การแอบรักมันดีตรงที่ หัวใจมันเต้นแรงตลอดเวลา อาจจะเพราะมันคือความลับ ความลับที่ห้ามแพร่งพรายไปเด็ดขาด

    ชีวิตตอนเรียน เรื่องสำคัญก็มีอยู่ไม่กี่อย่างหรอก เรื่องคะแนนสอบ เรื่องเพื่อน เรื่องพ่อแม่พี่น้อง เรื่องความรัก กิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ

    การแอบรักมันทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยอ่ะ เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ดี

    และแล้ววันที่ไม่อยากให้มาถึงมันก็มา พี่อาร์เรียนจบออกไปแล้ว ฉันเองก็ได้แต่ยืนเหม่อมองสนามบาส ที่ตอนนี้มีเด็กหน้าเดิม ๆ กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน ขาดแต่หน้าตาที่คุ้นเคยที่ฉันคอยเฝ้ามองทุกวัน ใจแห้งนะ

    คุณล่ะ รักครั้งแรกของคุณ คุณเลือกให้มันเป็นอย่างไร

     

    หลังจากเรียนจบ มอต้น ฉันเลือกที่จะเรียนต่อ มอปลายโรงเรียนเดิม ปีนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก ร่างกายของฉันก็เช่นกัน

    เสียงของฉันมันไม่แหลมเล็กอีกต่อไป มัน...ฟังดูแตก ๆ บอกไม่ถูก คงเพราะฉันโตขึ้น หน้าอกหน้าใจก็ขยายไปตามเรื่องตามราว ฉันเดินหลังค่อมลงทุกวัน เพราะอายหน้าอกตัวเอง บอกแม่ให้ซื้อเสื้อตัวโคร่งให้ แม่ก็ซื้อมาพอดีตัว เฮ้อออ..บางทีก็เหนื่อยใจ

    ช่วงปิดเทอม ฉันไว้ผมยาว เพราะมอปลายอนุญาตให้ไว้ผมยาวได้ ก็เลี้ยงไว้ไม่ตัดตั้งแต่ก่อนปิดเทอม ตอนนี้ก็ยาวเลยบ่าไปละ ผมเด้งอยู่พักใหญ่ช่วงปิดเทอม แต่ใครแคร์

    เปิดเทอมมาได้ไม่นาน ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นไม่ใช่แค่เพียงร่างกายฉัน ตอนนี้เด็กหนุ่มมากหน้าหลายตา พยายามเข้ามาทำความรู้จักกับฉัน เข้ามาพูดคุย มันทำให้ฉันทำตัวไม่ถูก

    บอกแล้วไง ว่าฉันเข้าสังคมไม่เก่ง... มันน่าอึดอัดนะ แต่อาจจะเป็นเพราะเด็กพวกนั้นไม่ใช่คนที่ฉันชอบด้วยมั้ง ส่วนคนที่ฉันชอบน่ะเหรอ ทุกครั้งที่เขาเดินผ่าน ฉันจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นบ้างแหละ เดินหลบไปบ้างแหละ ก็นะ...ฉันก็ยังเป็นฉันแหละ ได้แค่แอบชอบก็พอ สนุกดี

    มอปลาย จะว่าไปก็สนุกดีอยู่ เรื่องราวมันกลับตาลปัตรไปหมด ฉันกลายเป็นคนที่ได้รับจดหมายน้อยบ่อย ๆ ใส่ในรองเท้าบ้าง กระเป๋าดินสอบ้าง (แอบมาใส่กันไว้ตอนไหนก็ไม่รู้)

    มีอยู่คนหนึ่ง ชอบเขียนไว้ว่า วันไหนฉันพร้อมจะเจอตัวเขาให้เอากระดาษที่เขาเขียนไปวางไว้ที่บนกำแพงระหว่างห้องน้ำชายหญิง เวลาเที่ยง แต่ฉันก็ไม่เคยเอาไปวางไว้อ่ะ ยังไม่อยากรู้ว่าใคร อยากได้จดหมายไปเรื่อย ๆ ใจหนึ่งก็ยังไม่พร้อมจะมีความรักเป็นเรื่องเป็นราว ฉันทำตัวไม่ถูก

    แต่แล้วจุดจบของเรื่องแต่ละเรื่องมันก็ต้องเกิดใช่ไหม แค่จะเกิดช้าหรือเร็วก็เท่านั้น

    วันนี้ ฉันตัดสินใจเอากระดาษน้อยที่ได้รับไปวางไว้ตามที่เขาบอกหลังทานอาหารเที่ยงเสร็จ (มันก็ยังติดเที่ยงอยู่นะ) หลังจากนั้นฉันก็เดินกลับมาที่ห้อง ก่อนคาบต่อไปจะเริ่มได้ไม่นาน เพื่อนชายคนหนึ่งในห้องเรียน ห้องเดียวกันกับฉัน ก็เดินมาหยุดที่โต๊ะเรียนที่ฉันนั่ง

    ฉันเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะถามด้วยความสงสัยว่าเขาต้องการอะไร

    แทนคำตอบ เขายื่นกระดาษใบน้อย ใบที่ฉันวางไว้เมื่อเที่ยงลงบนโต๊ะตรงหน้าฉัน....

    ฉันอึ้งไปพักใหญ่ ก็อต เด็กชายห้องเรียนเดียวกับฉัน แอบเฝ้ามองฉันมาตลอด ถึงว่า ถ้าเป็นเด็กห้องอื่น จะแอบเอากระดาษมาใส่ในกระเป๋าดินสอของฉันได้ยังไง ตอนไหน และแล้วตอนนี้คำตอบก็กระจ่างในตัวของมันเอง

    อืมมมม...ฉันมองหน้าก็อต แล้วยิ้มกว้าง ก็อตยิ้มตอบก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้าง ๆ ฉัน

    “รู้สึกยังไง” เขาถาม

    “รู้สึกอะไร” คำตอบที่เป็นคำถามของฉัน ถามกลับไปทั้ง ๆ ที่ฉันรู้แหละว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ตอนนี้สมองของฉันมันยังไม่ทำงานน่ะสิ เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ปกติมันไม่ใช่เรื่อง “ปกติ” สำหรับฉันน่ะสิ ตอนนี้สมองต้องการประมวลผล ดึงเวลาได้ก็ดึงไว้ก่อน ฮ่า ๆ

    “รู้ว่าเป็นเราแล้ว รู้สึกยังไง” ก็อตยังยิ้มกว้างตอนถาม

    “ก็ไม่รู้ดิ” ตอบตามความจริง เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องรู้สึกยังไง

    “อาจจะกลัวมั้ง” ในที่สุดฉันก็ตอบกลับไป

    “กลัวอะไร” ก็อตทำหัวคิ้วชนกัน

    “กลัว...ถ้าต้องเลิกกัน แล้วจะมองหน้ากันไม่ติด ยังต้องอยู่ห้องเดียวกันอีกสองปีกว่า ๆ จนกว่าจะจบ มอ ๖ ไม่อยากเสียเพื่อน ไม่อยากรู้สึกแย่” ฉันพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็มีน้ำหนักพอนะ

    “เฮ้ยย คิดมาก ก็อย่าเลิกดิ” ก็อตมองหน้าเราตอนพูด เมื่อกันนะ ที่ก็อตมันดูน่ารักขนาดนี้

    เอาแล้วไง ปกติไม่เคยมองมันน่ารักนะ แล้วพอมันมาสารภาพรัก ทำไมมองก็อตเปลี่ยนไป สุดท้ายเราตกลงคบกับก็อตได้จนถึง มอ ๖

    ความรักใส ๆ ของนักเรียนอ่ะนะ จบลงง่าย ๆ ก็ไอ้ก็อตมันบอกเลิก มันไปชอบเด็กอาชีวะ มันว่าเราน่าเบื่อ คบกันมาอย่างมากก็จับมือ พาไปดูหนัง แล้วก็ส่งกลับบ้าน ตอนนั้น อกหักไม่ไหว

    คืออยากจะบอกแกนะไอ้ก็อต ว่า ถึงมันจะเป็นแค่ความรักใส ๆ น่าเบื่อสำหรับแก แต่สำหรับฉันมันคือช่วงเวลาดี ๆ นะโว้ย

    ดีนะที่เลิกกันตอน มอ ๖ ไม่ต้องทนอยู่ดูหน้ากันนาน อีกไม่นานก็เรียนจบแล้ว เพื่อน ๆ ที่รู้เรื่องต่างก็มองไอ้ก็อตเป็นผู้ร้าย เพราะมันเป็นฝ่ายทิ้งเราไปเอาเด็กอาชีวะ

    เรื่องระหว่างเด็กสายสามัญ กับเด็กสายอาชีพ ไอ้ก็อตถูกตั้งให้เป็นผู้ร้าย เสมือนทำผิดร้ายแรงด้วยการทรยศต่อสถาบันของเด็กสายสามัญ โดยไปยอมศิโรราบให้กับเด็กสายอาชีพ

    เด็กสายสามัญน่าเบื่อแบบเรา ร้องไห้อยู่หลายวัน แต่ไม่ได้ร้องต่อหน้าไอ้ก็อตมันหรอก เดี๋ยวมันจะสะใจ นี่ไง! เพราะแบบนี้ไงถึงไม่อยากมีความรัก มีความรักแล้วพอเป็นแบบนี้แล้วมันเจ็บนะเว้ย

     

    เรียนจบ มอ ๖ ก็ต่างคนต่างไป ก่อนไปไอ้ก็อตมาขอโทษแล้วขอเริ่มความเป็นเพื่อนใหม่

    ฉันทำหน้าทื่อ ๆ มองมันทื่อ ๆ ก่อนจะเมินมันแล้วเดินออกมา ไอ้บ้า ตอนมาจีบทำเป็นพูดดี ตอนจะทิ้งไม่เหลือเยื่อใย ฉันก็ไม่จำเป็นต้องมีแกว่ะช่วงเวลาอันเจ็บปวดมันผ่านไปแล้ว สำหรับฉัน เลิกแล้วก็คือจบ พบก็เจอได้ แต่ไม่จำเป็นต้อง keep in touch(รักษาความสัมพันธ์) ว่ะ

    เดินจากมาสวย ๆ สะบัดผมที่ตอนนี้ยาวถึงกลางหลังใส่มันอยากสะใจเบา ๆ

    ก็นะระหว่างที่คบกับมัน ฉันก็มีคนเข้ามาจีบตลอด เพียงแต่ฉันเป็นคนจริงจัง สุดท้าย มันนั่นแหละที่เปลี่ยนไป

    แต่มันก็ทำให้ฉันโตขึ้น ยังไงก็ต้องขอบใจแกนิดหนึ่งละไอ้ก็อต!

     

    ช่วงนี้ปิดเทอม ก่อนจะต้องไปเริ่มต้นใหม่ที่ มหาลัยฯ จัดว่าได้พักผ่อนไปยาว ๆ

    มหาวิทยาลัยเอกชน ที่ไม่ต้องสอบเข้า แค่มีตังค์ก็เข้าได้ ฉันเลือกที่จะเข้าเรียนที่มหาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง เพียงแค่ฉันเหนื่อยกับการสอบเต็มที ฉันเลือกเรียนคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ จบมาก็กะจะเป็นโปรแกรมเมอร์เก๋ ๆ

    ช่วงปิดเทอม ฉันชอบมานั่งเล่น อ่านนิยายออนไลน์ในมืออยู่ที่หน้าบ้าน วันนี้เป็นช่วงปลาย ๆ ของการพักผ่อนของฉันแล้ว อีกไม่กี่สัปดาห์ ต้องไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัย และแค่คิดฉันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่...ก็นะ อยู่บ้านเฉย ๆ มาพักหนึ่งมันก็เริ่มจะเคยตัวน่ะนะ ไม่อยากกลับไปเรียนเลย แต่ก็อีกนั่นแหละ จะเรียนจบแค่ มอหก เด็กสาวหน้าตาพอไปวัดไปวาได้แบบฉันมันก็จะกะไรอยู่

    อย่าได้คิดไปไกล แค่คิดก็เห็นภาพโดนแม่หยุมหัวมาแล้วเถอะ หื้มมม ภาพนั้นช่วยให้การไปมหาวิทยาลัยดูน่าสนใจขึ้นเยอะเลย

    ขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ ก้อนกระดาษก็ลอยเข้ามาตกบนตักฉัน ฉันเงยหน้าขึ้นดูก็เห็นผู้ชายที่ดูเหมือนจะอายุเยอะกว่าฉันสักหน่อย ยืนเกาะรั้วบ้านฉันอยู่

    ฉันหยิบกระดาษขึ้นมาคลี่อ่าน ก่อนเขียนอะไรยุกยิกแล้วปากลับไป แล้วหันกลับไปสนใจตัวหนังสือตรงหน้าต่อ

    ชายหนุ่มคนนั้น เดินหายไปพักเดียว เขากลับมาพร้อมกับกระดาษก้อนใหม่ และเช่นเดิม เขาปามาที่ฉัน แต่ครั้งนี้มันชนเข้าที่ด้านข้างหน้าผาก

    ฉันทำหน้าเซ็งหันไปมองเขา ก่อนที่จะเห็นเขาทำหน้าสลดลงนิดหน่อย เป็นการบอกให้รู้ว่าเขาเสียใจที่ปามาลงผิดที่ไปหน่อย ก่อนที่เขาจะทำมือบอกให้เปิดอ่าน

    ฉันหยิบก้อนกระดาษน้อยขึ้นมา ทำท่าจะปากลับไป แต่ไม่ได้ปา! ก่อนจะหัวเราะน้อย ๆ เป็นการเอาคืน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นการเอาคืนอะไรที่จริงจัง

    ในกระดาษมีข้อความบอกว่า เขาสนใจฉัน เขาเห็นฉันออกมานั่งหน้าบ้านทุกวันและก็แอบมองฉันมาตลอด เขาย้ายมาอยู่กับครอบครัว บ้านถัดไปอีกสามหลัง ทุกครั้งที่เดินผ่านก็จะเห็นฉันนั่งอยู่

    เขาชอบฉันตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น และอยากทำความรู้จัก ส่วนในกระดาษครั้งแรกที่เขาปาเข้ามา เขาถามฉันชื่ออะไร ส่วนฉันตอบกลับไปว่า “ไม่บอก” แล้วปากลับไปหาเขา

    ดังนั้นครั้งนี้เขาเลยใส่ข้อความน้อยมาอธิบายเล็กน้อยเรียกร้องความสนใจแกฉัน มันก็...ค่อนข้างจะได้ผลอยู่นะ

    ไม่สิ อย่าไปสนใจสิ ฉันบอกตัวเอง มันไม่น่าสนุกหรอก ตั้งแต่ครั้งก่อนที่โดนไอ้ก็อตทิ้ง เรื่องนี้ยังคอยตาหลอกหลอนฉันอยู่จนถึงทุกวันนี้ เพราะอย่างนั้นฉันไม่อยากจะหาเรื่องใส่ตัวหรอก

    ธันวา ชื่อของผู้ชายข้างบ้านถัดไปสามหลังคนนี้ ฉันไม่ได้บอกชื่อของฉันแก่เขาหรอก แต่ว่าเขาก็รู้จักฉันนั่นแหละ ก็แหม แม่ฉันอัธยาศัยดี แถวนี้แม่รู้จักทุกบ้านแหละ แล้วทุกบ้านก็รู้จักแม่ดีด้วย นายธันวานี่ก็คงจะถาม ๆ มาแล้วว่าฉันเป็นใครอะไรยังไง

    เอาเป็นว่าฉันไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว ตอนนี้ฉันสบายใจดีแล้ว ฉันบอกตัวเอง

    เดาสิ...ใช่ นายธันวาอาศัยเวลาที่แม่เขามาหาแม่ฉัน เขาก็ขอตามมาด้วย ทำให้ฉันไม่สามารถหลบหลีกได้เพราะแม่เรียกมาสวัสดีแขกมาบ้าน ต้องไปหาน้ำท่ามารับแขกอีก จะขอตัวออกไปก็จะเสียมารยาทอีก เพราะป้าก็รู้จักกันเป็นอย่างดี

    ลูกชายคนเล็กของแกคือ ธันวา ย้ายไปอยู่กับครอบครัวของสามีป้าแกที่ต่างจังหวัดตั้งแต่ป้าแกเลิกกับสามี ช่วงนี้ธันวามาอยู่กับป้า หรือจะพูดให้ถูกคือ ต่อไปธันวาจะมาอยู่กับแม่ของเขา เพื่อมาเรียนต่อมหาลัยที่นี่

    อายุเท่ากัน นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้ ธันวาเลือกเรียนกฎหมาย เห็นว่าเรียนจบแล้วอยากเป็นทนาย ตอนนี้ที่คุณอ่านอยู่ นายธันวาก็คงจะว่าความไปเป็นร้อยคดี ขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นว่าเล่น ตามที่เคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้ว

    กลับกลายเป็นว่านายธันวาหลังจากที่ตามป้า ซึ่งก็คือแม่ของเขาเข้ามาที่บ้านฉันเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นนายธันวาก็ขอมาเล่นที่บ้านฉันทุกวัน ฉันทำหน้าตาเฉยชาทุกครั้งที่เขามา พูดถามคำตอบคำอย่างเสียไม่ได้ ให้เขาเข้าใจว่า ฉันไม่ได้อยากสานสัมพันธ์ใด ๆ กับเขา

    ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ธันวาจีบเทียวไปเทียวมาบ้านฉันทุกวัน จนสุดท้ายฉันก็ใจอ่อน ยอมให้เขาเข้ามาเป็นมากกว่าเพื่อนบ้าน ก็คือ เป็นเพื่อนนี่แหละ

    ฉันเริ่มพูดจาดีขึ้น ไม่ทำหน้าเหม็นเบื่อเมื่อเขามาหาที่บ้าน และบางครั้งก็ชวนเขากินข้าวพร้อมกันกับครอบครัว

    ฉันเริ่มสนิทกับธันวามากขึ้น จนเริ่มมองเขาเป็นคนน่ารัก และธันวาเองก็เป็นคนหน้าตาดี เขามีคนรู้จักมากมาย เป็นถึงเน็ตไอดอล แต่ตัวเขาเองกลับไม่ได้ใส่ใจคนเหล่านั้น เขามักจะหาเวลามาพูดคุยนั่งเล่นกับฉันทุกวัน จนฉันเองไม่เคยจะสนใจว่าเขามีสังคมที่ต่างไปอย่างไร

    เราเริ่มชวนกันออกไปกินข้าวนอกบ้าน ดูหนัง เดินเล่นตามสวนสาธารณะ ทำกิจกรรมร่วมกัน จนวันหนึ่งเขาก็หายไป หายไปโดยไม่บอก ไม่กล่าว

    ไม่แม้แต่จะส่งข้อความมาบอกใด ๆ จนฉันต้องส่งไปถามว่าสบายดีไหม เป็นอะไรหรือเปล่า

    ธันวาอ่านข้อความของฉันแต่ก็ไม่ตอบ ฉันจ้องมองหน้าจอข้อความเก่า ๆ ของเขา ด้านบนจอแสดงผลว่าเขากำลังใช้งานอยู่ แล้วหลังจากนั้น ก็ออกจากการใช้งานไป โดยไม่ตอบข้อความฉัน

    ใจแห้ง โกรธ ทุกอย่างปะปนกันไป แต่ฉันเป็นผู้ใหญ่พอ ฉันจะไม่ร้องไห้ โวยวาย ใด ๆ

    เราเป็นแค่เพื่อนกัน เตือนตัวเองเอาไว้

    แต่มันมาทำให้หัวใจของฉันคุ้นชินกับการมีมันทุกวัน แล้วอยู่ ๆ มันก็หายไป หายไปดื้อ ๆ แบบนี้ หายไปแบบไม่แยแส ไม่สนใจ ไม่ตอบกลับ มันแปลกไหมเล่า

    ฉันนอนไม่หลับ ฉันถามตัวเองทุกวันว่าฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า หรือฉันทำอะไรให้ธันวาไม่พอใจหรือไม่ ย้อนกลับไปดูข้อความล่าสุดก่อนที่ธันวาจะเปลี่ยนไป ทุกอย่างก็ปกติดี ก็คุยกันดี จริง ๆ ยังชวนกันไปกินหมูกระทะอยู่เลย แล้วจู่ ๆ ก็เงียบไปไม่ตอบกลับข้อความใด ๆ ทั้ง ๆ ที่ก็เห็นอยู่ว่ามีการใช้งาน

    ฉันหยุดส่งข้อความไปถาม ฉันพยายามหยุดตัวเองไม่ให้ก้าวข้ามเส้นของคำว่าส่วนตัวมากเกินไปกว่านี้ ธันวาอาจจะกำลังยุ่งกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เดี๋ยวเขาสะดวกก็คงกลับมาบอกฉันเอง

    หลายวันผ่านไปกลายเป็นสัปดาห์ ก่อนจะกลายเป็นเดือน ความเคยชินที่ก่อนหน้านี้ฉันใช้ชีวิตคนเดียวยังไง ตอนนี้ฉันก็แค่กลับไปเป็นแบบเดิม อาจจะมีบางเวลาที่เผลอคิดถึงเขาบ้าง แต่ก็ทำได้แค่ทำใจ

    วันนี้ฉันออกมานั่งหน้าบ้าน หลังจากที่ไม่ได้ออกมานั่งเป็นเดือน และเขาก็เดินมา ธันวาหยุดยืนรออยู่พักใหญ่ หางตาของฉันเห็นเขาแล้วแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น และอ่านหนังสือผ่านมือถือต่อไป

    พักใหญ่ก่อนที่เขาจะตะโกนเรียกชื่อฉัน ในครั้งแรกฉันทำเป็นไม่ได้ยืน “เอาคืนซะมั่ง...ฉันคิด”

    ธันวายังคงตะโกนเรียกฉันอยู่อีกสองสามครั้งจนแม่ฉันต้องตะโกนออกมาว่าให้ไปเปิดประตูบ้าน นั่งหูหนวกอยู่ได้ ฉันกลอกตาขึ้นก่อนจะเดินไปเกาะรั้วแล้วถามเขาว่า

    “มาพบใคร” ฉันมองหน้าเขาอย่างคนไม่รู้จัก โดยที่ฉันพยายามสร้างกำแพงคนแปลกหน้าขึ้นมา

    “เราขอโทษนะที่หายไป” ธันวามองหน้าฉันในขณะที่พูด ฉันมองสบตาเขาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะถามว่า

    “แล้วหายไปไหนมา” สีหน้าฉันยังแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงก็แข็งจนน้ำแข็งก็ยังอาย

    “เราขอโทษ” ธันวายังคงพูดคำเดิมซ้ำ ๆ

    “เออ รู้แล้วว่าขอโทษ แล้วยังไง หายไหนมา” ฉันยังคงพูดห้าวใส่อย่างต้องการคำตอบ

    “เรามีแฟนแล้ว” ธันวาพูดจบ เสียงความเงียบก็ดังขึ้นระหว่างเราทั้งสองคนทันที

    หัวใจของฉันเต้นแรง มือไม้สั่น ริมฝีปากฉันเริ่มสั่นอย่างไม่แน่ใจว่าฉันเคยรู้หรือไม่ว่าการควบคุมร่างกายตัวเองทำอย่างไร

    “อ่อ” คำสั้น ๆ ที่ฉันตอบกลับไป ก่อนจะเปลี่ยนโหมดสายตาเป็น โหมดว่างเปล่า หน้ากากไร้ความรู้สึกถูกสวมลงบนหัวโขนทันทีเพื่อปกปิดความรู้สึกอันแท้จริง

    “ดีใจด้วย มีอะไรมีเปล่า ถ้าไม่มีแล้วขอตัวเข้าบ้านก่อนนะ พอดีมีธุระต้องทำ” ฉันพูดขึ้นด้วยสีหน้าเฉยชา แต่ในใจฉันนั้นสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธความเสียใจและความผิดหวัง และตัวฉันนั้นไม่สามารถที่จะยืนประจันหน้ากับเขาได้อีกต่อไปแม้แต่เพียงเสี้ยววินาทีเดียว

    “ขอโทษจริง ๆ” เสียงธันวา กระซิบตามหลังฉันมา เพราะหลังจากที่ฉันพูดจบฉันก็หันหลังกลับแล้วเดินออกมาทันที

    น้ำตาไหลเป็นสาย โดยที่ฉันเก็บซ่อนมันไว้เป็นอย่างดี ฉันจะไม่ให้เธอเห็นมันหรอกธันวา เธอไม่มีค่าพอที่จะเห็นมัน

    เดินมาหยุดหน้าห้องนอนของตัวเอง ฉันค่อย ๆ เปิดประตูเบา ๆ และปิดลงอย่างช้า ๆ แต่ในใจของฉันนั้นเหมือนดั่งพายุ ที่แท้จริงแล้วฉันอยากจะแสลมประตูให้บ้านสะเทือน วิ่งร้องไห้หวีดร้องไปทั่วบ้าน ขว้างปาข้าวของทุกอย่างที่มี กรีดร้องให้ได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน แต่สุดท้ายแล้วฉันทำได้แค่เพียง เดินกึ่งวิ่งไปทิ้งตัวลงนอนบนที่นอน เอาหมอนปิดหน้า แล้วร้องไห้ออกมาสุดเสียง

    นานเป็นชั่วโมงที่ฉันนอนร้องไห้อยู่อย่างนั้น เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นธันวาที่ส่งมาอธิบายว่า เขาหายไปไหนมา และเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ฉันยังไม่พร้อมจะรับรู้ ฉันยังไม่พร้อมจะอ่าน

    มันเจ็บนะเว้ย คนเราเวลามีความรู้สึกดี ๆ กับใครสักที ทำไมต้องมีหนึ่งคนที่เปลี่ยนใจเสมอ ทำไมต้องมีหนึ่งคนที่ออกไปหาใครคนอื่นแล้วทำให้คำว่า “เรา” มันหายไปเสมอ

    สองครั้งสองครากับการถูกทรยศหักหลังจากผู้ชายที่เดินเข้ามา แล้วก็เดินกลับออกไป แถมตอนเดินไปก็ไปไม่ค่อยจะสวยอีก

    ทำไมฉันต้องเป็นคนเดียวที่ถูกกระทำ ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้ง ๆ ที่ฉันก็อยู่ของฉันดี ๆ พวกแกเข้ามาทำให้ฉันรู้สึกดี ๆ ก่อนจะถีบหัวส่ง

    เอาเถอะฉันพลาดไปสองครั้งแล้ว มันจะไม่มีครั้งที่สามอีก ตอนนี้ฉันจะเตรียมตัวเข้าเรียนที่มหาลัย และต่อไป ผู้ชายที่เรียงหน้าเข้ามา จะเจอแต่กำแพงหนาสิบชั้น การ์ดป้องกันตัวขึ้นสูงถูกดึงออกมาใช้งาน และโป๊กเกอร์เฟส คือ ใบหน้าของฉันตั้งแต่นี้เป็นต้นไป

    แล้วคุณล่ะ คิดว่าฉันจะรอดไหม กับชีวิตในมหาลัย คุณคิดว่าฉันจะต้องเสียใจอีกกี่ครั้ง หรือจะดีกว่าไหม หากจะปล่อยให้หัวใจไร้ความรัก...จบ



     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×